- ความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทางการไทยและเวียดนาม ทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นที่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวเวียดนามในประเทศไทย จะถูกบังคับส่งกลับไปเวียดนาม เวียดนามและไทยกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม โดยเฉพาะนับแต่ต้นปี 2567 เมื่อทั้งสองประเทศได้เริ่มเจรจาสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
- เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยควรหยุดจับกุมผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวเวียดนาม ทางการไทยยังควรหยุดให้ความร่วมมือกับตำรวจเวียดนามในการส่งกลับพวกเขา
- รัฐบาลต่างประเทศต้องเร่งดำเนินงานเพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยเดินทางไปพำนักในประเทศที่สามได้ และกระตุ้นประเทศไทยให้ขัดขวางเวียดนามจากการแทรกแซงคดีเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในไทย
(กรุงเทพฯ) ความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทางการไทยและเวียดนาม ทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นที่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวเวียดนามในประเทศไทย จะถูกบังคับส่งกลับไปเวียดนาม ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ทางการไทยกำลังสนับสนุนการปฏิบัติมิชอบข้ามพรมแดนของเวียดนาม หรือที่เรียกว่าการปราบปรามข้ามชาติ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศสำหรับผู้ลี้ภัย
“ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามอยู่ในสภาพที่ขาดความมั่นคงยิ่งขึ้นในประเทศไทย” จอห์น ซิฟตันผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ในเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “ทางการไทยควรยุติการกักตัวผู้ลี้ภัยทันที และยุติการให้ความร่วมมือกับตำรวจเวียดนามที่พยายามส่งกลับพวกเขา”
ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามส่วนใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า พวกเขากลัวการจับกุม กลัวจะถูกอุ้มหาย หรือส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปเวียดนาม โดยความกลัวเช่นนี้ได้เพิ่มขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่เวียดนามได้แวะเวียนเข้ามาหาพวกเขา ระหว่างอยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวของไทยมากขึ้น พวกเขายังได้พูดถึงกรณีการลักพาตัว เดือง วัน ไถ่อายุ 42 ปี นักข่าวที่เห็นต่างจากรัฐและเป็นผู้ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR เมื่อเดือนเมษายน 2566 ซึ่งหลบหนีมาจากเวียดนามเมื่อปี 2562 และอยู่ระหว่างการขอไปพำนักอาศัยในประเทศที่สาม กลุ่มผู้ชายไม่ทราบชื่อได้บังคับส่งกลับเขาไปเวียดนามช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 ต่อมาศาลเวียดนามได้พิจารณาลับเป็นเวลาหนึ่งวัน และได้ ตัดสินจำคุกเขาเป็นเวลา 12 ปี จากการตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูล “ที่มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” การจับกุมผู้ลี้ภัยได้เพิ่มขึ้น หลังจากทางการไทยได้สนับสนุนช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเวียดนาม จนนำไปสู่การจับกุม อี ควิน เบดั๊บซึ่งเป็นผู้เห็นต่างจากรัฐในเดือนมิถุนายน 2567 รัฐบาลเวียดนามขึ้นบัญชี กลุ่มมองตานญาดเพื่อความยุติธรรม ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนของเบดั๊บ โดยระบุว่าเป็นกลุ่ม “ก่อการร้าย”
ในปี 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ออกปฏิบัติการหลายครั้งโดยมีเป้าหมายเป็นผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม รวมทั้งเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน กรกฎาคม และตุลาคม ผู้ถูกจับกุมหลายคนเป็นชาวมองตานญาดหรือชาวม้งจากที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนาม ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการขอรับสถานะผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจาก UNHCR ชาวมองตานญาดและชาวม้งหลายคนที่ถูกกักตัวระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ต่างให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันหลังได้รับการปล่อยตัวว่า ตำรวจเวียดนามได้มาที่สถานกักตัวของไทย และกดดันให้พวกเขายินยอมที่จะเดินทางกลับไปเวียดนาม และยังได้ตามมาคุกคามพวกเขาระหว่างที่รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทย
ผู้ลี้ภัยหลายคนบอกว่า ตำรวจเวียดนามยังได้เดินทางไปพบกับญาติของพวกเขาในเวียดนามเมื่อปีที่แล้ว และแจ้งให้ญาติทราบว่า ตำรวจรู้ว่าพวกเขาหลบหนีอยู่ที่ไหนในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการนำตัวพวกเขากลับไปเวียดนาม
กลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มในประเทศไทยได้สัมภาษณ์ผู้ต้องกัก และผู้ลี้ภัยที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ซึ่งให้ข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อค้นพบของเรา และได้ส่งรายงานส่วนบุคคลไปให้กับเจ้าหน้าที่สหประชาชาติโดยกล่าวหาว่ามีการปฏิบัติมิชอบในกรณีต่าง ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมักควบคุมตัวผู้ลี้ภัยที่ได้รับสถานะจาก UNHCR รวมทั้งผู้ลี้ภัยจากเวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา และกักตัวพวกเขาไว้จนกว่าจะมีการวางเงินประกันตัว ซึ่งผู้ลี้ภัยและนักรณรงค์เพื่อสิทธิของคนเข้าเมืองเห็นว่าเป็นเงินค่าสินบน ฮิวแมนไรท์วอทช์รายงานเมื่อเดือนเดือนกรกฎาคมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมักจับกุมและรีดไถเงินจาก ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยและผู้เข้าเมืองชาวเมียนมา รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์อีกฉบับหนึ่งบันทึกข้อมูลว่า ทางการไทยสนับสนุนช่วยเหลือรัฐบาลต่างชาติที่มีเป้าหมายโจมตีผู้ลี้ภัย
รัฐบาลไทยมีพันธกรณีตามหลักการไม่ส่งกลับ (nonrefoulement) หรือหลักการไม่ส่งตัวกลับ (non-return) ของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งห้ามไม่ให้ประเทศส่งตัวบุคคลกลับไปยังดินแดนใด ๆ กรณีที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่จะตกเป็นเหยื่อของการประหัตประหาร การทรมาน หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างรุนแรงอื่น ๆ หรือต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อชีวิต หรือต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงที่คล้ายคลึงกัน หลักการไม่ส่งกลับเป็นข้อห้ามตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี รวมทั้งปรากฏอยู่ในกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ การห้ามส่งกลับยังถูกบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566 ของประเทศไทย
ดูเหมือนว่าเวียดนามและไทยต่างเห็นชอบที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากขึ้น และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกักตัวมาตั้งแต่ต้นปี 2567 เมื่อทั้งสองประเทศได้เริ่มเจรจาสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในเดือนพฤษภาคม 2568 ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น ได้ลงนามในความตกลงอย่างรอบด้าน โดยเป็น “การเห็นชอบที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านนิติบัญญัติและตุลาการ และพันธกิจที่จะดำเนินการตามความตกลงที่ลงนามอย่างเป็นผลระหว่างทั้งสองประเทศ เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ปัญหาอาชญากรรม การส่งตัวบุคคลที่ศาลตัดสินลงโทษ และความร่วมมือในการบังคับใช้โทษทางอาญา”
ในเดือนกรกฎาคม ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหลายคน ส่งจดหมายถึงรัฐบาลเวียดนามและ ไทยเพื่อร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับหลายกรณีเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้ระบุว่า “มีข้อกังวลว่ารัฐบาลเวียดนามอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับรัฐบาลไทย ทั้งนี้เพื่อจำแนกตัวผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดจากเวียดนามในประเทศไทย เพื่อหาทางบังคับส่งตัวพวกเขากลับไปเวียดนาม รวมทั้งผู้ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR และอยู่ระหว่างการขอเดินทางไปพำนักในประเทศที่สาม”
ผู้เชี่ยวชาญยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานของเหตุการณ์ “การตอบโต้และการข่มขู่” ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย และ “การจำกัดสิทธิที่ไม่เหมาะสม” ต่อหน่วยงานของผู้ลี้ภัย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็น “มาตรการที่กระตุ้นพวกเขาไม่ให้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ” และขัดขวางไม่ให้พวกเขายอมให้ข้อมูลกับองค์การสหประชาชาติ
ประเทศต่าง ๆ ที่เคยให้ที่พำนักอาศัยกับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม รวมทั้งออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี และประเทศในยุโรปอื่น ๆ ควรพิจารณาเพิ่มการให้สิทธิพำนักอาศัยกับผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างร้ายแรง ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว สหรัฐฯ ได้ ระงับแผนงานให้ที่พำนักอาศัยกับผู้ลี้ภัย เกือบทั้งหมด รวมทั้งผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
“ประเทศไทยกำลังร่วมมือและสนับสนุนการปราบปรามข้ามชาติโดยทางการเวียดนามในประเทศไทย” ซิฟตันกล่าว “รัฐบาลต่างประเทศต้องเร่งดำเนินงานเพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยเดินทางไปพำนักในประเทศที่สามได้ และกระตุ้นประเทศไทยให้ขัดขวางเวียดนามจากการแทรกแซงคดีเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในไทย”
ความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เวียดนาม, แรงกดดันต่อผู้ลี้ภัย
ปฏิบัติการจับกุมคนเข้าเมือง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทางการไทยได้ออกปฏิบัติการกวาดล้าง เพื่อควบคุมตัวผู้อพยพและผู้เข้าเมือง ซึ่งหลายคนเป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่ลี้ภัยจากเมียนมา เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ ผู้ถูกจับกุมมักถูกดำเนินคดีในข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่มีวีซ่าอย่างถูกต้อง ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยและผู้ลี้ภัยที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานสหประชาชาติด้านผู้ลี้ภัย มักได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ตามกฎหมายไทย
ผู้ถูกจับกุมมักถูกคุมขังในเรือนจำของไทยเป็นเวลาสั้น ๆ บางคนได้รับการปล่อยตัวหลังยอมจ่ายเงิน ซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกว่าค่าปรับ เป็นเงินตั้งแต่ 1,000 ถึง 5,000 บาทต่อคน ผู้ต้องกักที่ไม่สามารถจ่ายเงินได้ หรือไม่สามารถขอรับการปล่อยตัวได้ มักถูกส่งตัวไปสถานกักตัวคนต่างด้าว โดยจะถูกกักตัวไว้จนกว่าจะสามารถวางเงินประกันจำนวน 50,000 บาท และต้องสามารถหานายประกันมาแสดงตัวได้ ในกรณีอื่น ๆ พวกเขาจะถูกเนรเทศ หรืออาจมีการส่งตัวไปพำนักในประเทศที่สามต่อไป
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 ในจังหวัดนนทบุรีที่อยู่ชานเมืองของกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ควบคุมตัวชาวมองตานญาดกว่า 60 คน รวมทั้งหลายคนที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR ตามข้อมูลของพยานและรายงานขององค์การสหประชาชาติ พวกเขาส่วนใหญ่ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐาน “เข้าเมืองและพำนักอาศัยอย่างผิดกฎหมาย” และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ โดยต่อมาจะมีการนำผู้ต้องกักไปไว้ที่สถานกักตัวคนต่างด้าว โดยถ้าเป็นผู้หญิงและเด็กจะถูกส่งตัวไปสถานกักกันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางเขนในกรุงเทพฯ ส่วนคนอื่น ๆ จะถูกส่งตัวไปที่สถานกักตัวคนต่างด้าวซอยสวนพลู ในเดือนพฤษภาคม ตำรวจยังได้ควบคุมตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวมองตานญาดคนอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ภายในและรอบ ๆ กรุงเทพฯ
ในปฏิบัติการกวาดล้างครั้งอื่นในเดือนมีนาคม เมษายน และกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้จับกุมผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวม้งอีกหลายสิบคน บางคนสามารถจ่ายค่าปรับ หรือวางเงินประกันตัวเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวได้ แต่ก็มีชาวม้งหลายคนที่ถูกกักตัวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ที่ยังคงถูกกักตัวไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
ในปฏิบัติการกวาดล้างเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ควบคุมตัวชาวมองตานญาด 70 คนใน ปฏิบัติการช่วงเช้าตรู่ ตามข้อมูลจากในพื้นที่ ในบรรดาผู้ที่ถูกควบคุมตัว มีอยู่ 42 คนที่ได้รับการจำแนกว่าเนผู้ลี้ภัยโดย UNHCR แล้ว หรือไม่ก็อยู่ระหว่างการขอสิทธิในการลี้ภัย หลายคนเคยถูกควบคุมตัวระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างก่อนหน้านี้
ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวพวกเขา 20 คน ซึ่งเป็นคนที่เคยได้รับการปล่อยตัวจากการวางเงินประกันตัวมาแล้ว และได้นำตัวบุคคลที่เหลือไปยังสถานกักตัวคนต่างด้าวซอยสวนพลู ชาวมองตานญาดในชุมชนที่นนทบุรีคนหนึ่งบอกว่า ในวันต่อมา เจ้าหน้าที่ไทยได้สั่งปรับผู้ต้องกักที่เหลือเป็นเงินคนละ 5,000 บาท โดยระบุว่าพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวถ้ายอมจ่ายค่าปรับ
การข่มขู่ต่อครอบครัวในเวียดนาม
ฮิวแมนไรท์วอทช์ได้สัมภาษณ์ชาวมองตานญาด ซึ่งเป็นผู้ชายสิบกว่าคน และผู้หญิงสองคนในประเทศไทย ซึ่งหลบหนีจากเวียดนามมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาต่าง ๆ กันระหว่างปี 2558 ถึง 2566 หลายคนบอกว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลมักจะเดินทางไปพบกับญาติของผู้ลี้ภัยถึงที่บ้านในที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนามอย่างสม่ำเสมอในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และบอกให้พวกเขาแจ้งให้ญาติที่หลบหนีเดินทางกลับประเทศ ชายชาวมองตานญาดอายุราว 30 ปีบอกว่า ตำรวจไปที่หมู่บ้านของเขาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และบอกกับพ่อแม่ของเขาว่า พวกเขารู้ว่าลูกชายหนีไปอยู่ที่ไหน และบอกให้พ่อแม่แจ้งลูกให้เดินทางกลับมาบ้าน โดยบอกว่าถ้ากลับมา “จะทำให้มีปัญหาน้อยกว่า”
ผู้ลี้ภัยบางคนบอกว่า ญาติของพวกเขาที่ถูกจับกุมระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างในจังหวัดนนทบุรีเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมแจ้งกับพวกเขาทางโทรศัพท์ว่า เจ้าหน้าที่ไทยอนุญาตให้ตำรวจเวียดนามเข้าไปสอบปากคำพวกเขาระหว่างถูกกักตัว ไม่นานหลังถูกจับกุม โดยญาติบอกว่า ตำรวจเวียดนามเหล่านี้จะข่มขู่ผู้ถูกกักตัวหลายคนว่า จะบังคับส่งกลับไปเวียดนาม และบอกให้พวกเขาลงนามในเอกสารเพื่อแสดงความยินยอมที่จะถูกส่งตัวกลับ บางคนบอกว่า ระหว่างที่ถูกกักตัว ตำรวจเวียดนามได้เดินทางไปหาญาติของพวกเขาในเวียดนาม และพยายามบังคับให้หว่านล้อมให้พวกเขาเดินทางกลับไป
ผู้ลี้ภัยชาวม้งหลายคนยังระบุถึงเหตุการณ์และแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน ผู้หญิงชาวม้งซึ่งมีสามีเป็นแกนนำกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และได้หลบหนีจากเวียดนามพร้อมกับสามีและญาติคนอื่นในครอบครัวเมื่อปี 2565 บอกว่า ในช่วงนี้ ตำรวจมักแวะเวียนไปพบกับพ่อแม่ของเธอ และพ่อแม่ของสามีในเวียดนามอย่างสม่ำเสมอ
“พวกเขาเดินทางมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม [2568] และบอกพวกเขาว่า ‘พวกเราได้ทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ที่จะนำตัวเขากลับมาแล้ว’” หมายถึงการนำตัวสามีเธอกลับมา โดยเขาอยู่ระหว่างถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าวของไทย เจ้าหน้าที่ได้บอกพวกเขาว่า “เราจะจับเขาขังคุกจากการทำกิจกรรมต่อต้านรัฐ” ผู้หญิงคนดังกล่าวบอกว่า เธอเชื่อว่าตำรวจพยายามกระตุ้นให้พ่อแม่เธอและพ่อแม่ของสามีเธอ หว่านล้อมให้สามีของเธอเดินทางกลับไปโดยสมัครใจ โดยอ้างว่าจะได้รับการบรรเทาโทษ
เหงียน เวียด ดุงอดีตนักโทษการเมืองที่เคยถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในปี 2561 ฐานที่ “โฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านรัฐ” และได้หลบหนีมาจากเวียดนามหลังได้รับการปล่อยตัวช่วงปลายปี 2567 บอกว่า ญาติของเขาในเวียดนามถูกข่มขู่มากขึ้น เขาได้ยกตัวอย่างหลายครั้งที่ตำรวจเวียดนามเดินทางไปหาพ่อแม่ และน้องสาวของเขาที่บ้านในปี 2568 เขาได้แสดงความกังวลว่า ทางการเวียดนามพยายามหาทางจับกุมตัวเขาในประเทศไทย เพราะเขายังอยู่ระหว่างการคุมประพฤติหลังศาลมีคำตัดสินลงโทษเขาเมื่อปี 2561 และตอนที่หลบหนีมาจากเวียดนาม ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
หวง เฮา ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยซึ่งหลบหนีไปเมื่อปี 2566 และมีพี่ชายชื่อ หวง ดุก บินห์ซึ่งเป็นนักโทษการเมืองในเวียดนามบอกว่า เจ้าหน้าที่มักตามไปคุกคามน้องสาวของเขาในเวียดนามอยู่เสมอ เขาบอกว่า เจ้าหน้าที่กดดันให้น้องสาวโทรศัพท์มาหาและกระตุ้นให้เขาเดินทางกลับไป โดยบอกว่าถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะสามารถกดดันให้ประเทศไทยบังคับให้เขาต้องเดินทางกลับมาอยู่ดี ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามอีกสองคนให้ข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน
ทางการเวียดนามคุกคามผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
ผู้ลี้ภัยชาวม้งและชาวมองตานญาดหลายคน ซึ่งถูกกักขังที่สถานกักตัวคนต่างด้าวของไทย ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม รวมทั้งผู้ลี้ภัยซึ่งมีโอกาสพูดคุยกับผู้ต้องกักในสถานที่ดังกล่าวจนถึงเดือนสิงหาคมบอกว่า ทางการไทยอนุญาตให้ตำรวจเวียดนามเข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของไทย พวกเขาได้พยายามหลายครั้งที่จะหว่านล้อม หรือบังคับให้ผู้ต้องกักลงนามในเอกสารแสดงความยินยอมที่จะกลับไปเวียดนาม ซึ่งผู้ต้องกักปฏิเสธที่จะลงนาม และในเดือนมีนาคม 2567 ชาวมองตานญาดหลายคนบอกว่า ตำรวจเวียดนามได้ไปตามตัวพวกเขาที่ชุมชนใกล้กับกรุงเทพฯ โดยมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย เพื่อกดดันให้พวกเขากลับไปเวียดนาม และสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับชาวมองตานญาดคนอื่น ๆ ที่ต้องการจับกุมตัวในเวียดนาม
ชาวมองตานญาดหลายคนให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติของตำรวจเวียดนามระหว่างที่พวกเขาถูกกักตัว หรือระหว่างเดินทางไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ว่า “ตอนแรก พวกเขาบอกว่า อาจมีการบรรเทาโทษให้เรา ถ้าเรายอมเดินทางกลับไปเอง” ชาวมองตานญาดคนหนึ่งบอก “แน่นอนว่า เราไม่เชื่อพวกเขา เพราะพวกเขาเดินทางมาคุกคามชุมชนของเราเป็นเวลานานมาแล้ว” ชาวมองตานญาดอีกคนหนึ่งบอกว่า ตำรวจเวียดนามได้เรียกตัวเขาไปคุยแยกจากคนอื่น ระหว่างการรายงานตัวประจำเดือนกับเจ้าหน้าที่ตม.ของไทย และบอกว่า “คุณอยู่ที่นี่ [ในประเทศไทย] มาเป็นเวลานานแล้ว และยังไม่ได้สิทธิเดินทางไปอยู่ในสหรัฐฯ แล้วคุณจะได้สิทธิเดินทางไปที่ไหนกันล่ะ?’ พวกเขาบอก ‘ถ้าคุณยังอยู่ที่นี่ และถ้ารัฐบาลที่นี่สร้างปัญหาให้กับคุณ คุณสามารถโทรบอกเรา และเราจะให้ความช่วยเหลือได้’ สำหรับผม ผมถือเป็นการข่มขู่ หมายถึงว่าพวกเขาจะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยให้มาจับกุมพวกเรา”
ในเดือนเมษายนตำรวจเวียดนามได้เรียกตัวกลุ่มชายชาวมองตานญาดให้มาคุยด้วย ระหว่างเดินทางไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตม.ของไทย โดยบอกว่า “พวกเขาดึงตัวพวกเราออกมาอีกด้านหนึ่ง และยังตะโกนใส่เรา” ชาวมองตานญาดที่นับถือศาสนาคริสต์บอก จากนั้นตำรวจก็ได้ข่มขู่เขาว่า “ชาวมองตานญาดทั้งหมดเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งนั้น เราจะแจ้งให้พวกเขา [เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย] ทราบว่า พวกคุณเป็นผู้ก่อการร้าย และถ้าพวกคุณไปรวมตัวกันสวดมนต์ [ในโบสถ์] เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็จะตามไปจับตัวคุณ”
หลังการจับกุมชาวมองตานญาดจำนวนมากในเดือนกุมภาพันธ์ ทนายความของผู้เข้าเมืองสามารถวางเงินประกันตัวให้กับผู้ต้องกักเกือบทั้งหมด แต่ทางการไทยไม่ยอมให้ประกันตัวอยู่สองคน รวมทั้งอี ฟง อีนูออล และ อี เดือง บีครง ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่าเป็นเพราะพวกเขามีหมายจับในเวียดนาม นักรณรงค์ที่รู้ข้อมูลกรณีนี้บอก ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิแห่งสหประชาชาติได้ตั้งข้อสังเกตใน จดหมายเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ส่งถึงรัฐบาลไทยว่า เจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามได้เดินทางไปหาผู้ต้องกักเหล่านี้เมื่อเดือนมีนาคม และผู้ต้องกัก “ได้แสดงความกลัวที่จะถูกประหัตประหารโดยทางการเวียดนาม”
ในอีกด้านหนึ่ง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ทางการไทยได้จับกุมผู้ชายชาวม้งหลายสิบคนที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยกับ UNHCR ญาติของพวกเขาและผู้รณรงค์ด้านสิทธิบอกว่า พวกเขาส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวม้ง ซึ่งเป็นกลุ่มภาคประชาสังคมที่ติดตามและรายงานข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวม้งในเวียดนาม เจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามได้เดินทางไปพบกับผู้ต้องกักเหล่านี้ในหลายโอกาส ในช่วงปลายเดือนเมษายนและต้นเดือนพฤษภาคมที่สถานกักตัวคนต่างด้าวซอยสวนพลู เพื่อกระตุ้นให้ผู้ต้องกักเดินทางกลับไปเวียดนามโดยสมัครใจ และให้ลงนามในเอกสารเพื่อให้มีการส่งตัวกลับ แต่ไม่มีใครยอมเซ็นชื่อ ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่เหล่านี้ยังคงถูกกักตัวจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2568
ทางการไทยได้ควบคุมตัว เกียง อา อู ศิษยาภิบาลชาวม้ง ซึ่งหลบหนีมาจากเวียดนามพร้อมกับครอบครัวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รวมทั้งภรรยาและลูกสาวของเขาหลายครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดในเดือนเมษายน เกียง อา นันห์ ซึ่งเป็นลูกชายวัย 25 ปีของเขา บอกกับฮิวแมนไรท์วอทช์ในเดือนสิงหาคมว่า พ่อของเขาได้โทรศัพท์หาเขาระหว่างถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าวช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และแจ้งว่า มีเจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามเดินทางมาพบ โดยบอกว่าตัวเองมีชื่อว่า “นายฮุง” และเจ้าหน้าที่ยังมีหนังสือเดินทางและบัตรประชาชนเวียดนามของพ่อของเขาด้วย โดยเป็นเอกสารซึ่งถูกทางการไทยยึดเอาไว้ระหว่างการจับกุม
เกียง อา นันห์ บอกว่า นายฮุงแจ้งกับพ่อของเขาว่า “คุณและครอบครัวอยู่ในประเทศไทยมาเกือบ 10 ปีแล้ว เวียดนามได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว สหรัฐฯ เองก็ปิดประตูไม่รับผู้ลี้ภัยแล้ว แล้วพวกคุณจะไปที่ไหนได้อีก ตอนนี้พวกคุณต้องกลับไปเวียดนามสิ” เกียง อา อูปฏิเสธที่จะกลับไป และนายฮุงบอกว่า “อย่าลืมสิ คุณยังมีลูก ๆ ที่เฝ้ารอคุณอยู่ข้างนอก คุณยังมีญาติอยู่ในเวียดนาม พวกเรามีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาทั้งหมด” จากนั้นนายฮุงก็บอกว่า ถึงแม้ว่าเกียง อา อูจะสามารถประกันตัวออกมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็จะตามไปอายัดตัวเขาอยู่ดี และเขาจะไม่สามารถทำงานในประเทศไทยได้ ถ้าเขาพยายามจะทำงาน นายฮุงบอกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็จะจับกุมเขาอีกครั้ง
ฮิวแมนไรท์วอทช์ทราบข้อมูลในเดือนพฤศจิกายนว่า ช่วงปลายเดือนกันยายน ทางการไทยได้จับกุม เกียง อา นันห์ ลูกชายคนเดียวของเขา และส่งตัวไปเรือนจำของไทย หลังผ่านไปหนึ่งเดือน เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเขาไปยังสถานกักตัวคนต่างด้าวของไทย ทำให้เขาถูกกักตัวพร้อมกับพ่อและแม่ รวมทั้งผู้ต้องกักชาวเวียดนามคนอื่น ๆ น้องสาวของเขาที่มีอายุ 18 และ 21 ปี จึงต้องทำหน้าที่ผู้ใหญ่คอยดูแลน้องชายอีกสองคนที่มีอายุ 11 และ 14 ปี
ภรรยาของนักกิจกรรมชาวม้งห้าคนที่ถูกกักตัวบอกว่า สามีของพวกเธอได้โทรศัพท์มาบอกระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคมว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเวียดนามได้เดินทางไปพบระหว่างที่พวกเขาถูกกักตัว และพยายามบังคับให้ลงชื่อในเอกสารแสดงความยินยอมที่จะถูกส่งตัวกลับไปเวียดนาม แต่พวกเขาปฏิเสธ เพราะรู้ว่ารัฐบาลมองว่าพวกเขาเป็นผู้เห็นต่างซึ่งได้ละเมิดกฎหมาย
สื่อของรัฐเวียดนามได้รายงานอย่างสม่ำเสมอว่า ผู้เห็นต่างชาวม้งที่หลบหนีจากเวียดนามโดยไม่ได้รับอนุญาต และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ล้วนแต่เป็นอาชญากร ในรายงานข่าวเดือนมิถุนายน 2567 เกี่ยวกับรัฐบาลโดยสถานีโทรทัศน์ด้านความมั่นคงของรัฐช่อง ANTV เป็นรายงานเกี่ยวกับผู้ชายชาวม้ง 13 คนที่ถูกจับกุมในเดือนมีนาคม 2568 รวมทั้ง มา เสี่ยว จาง, มา อา ดินห์ และ มา อา ซินห์
รายงานดังกล่าวระบุว่า พวกเขาได้ “เดินทางออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย” ไปยังประเทศไทย และอ้างว่าผู้ชายเหล่านี้ “ดูหมิ่นนโยบายของพรรค [คอมมิวนิสต์] และรัฐเวียดนาม และระบุว่าการสร้างเรื่องกล่าวหาแบบเท็จของพวกเขาเกี่ยวกับประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หรือเสรีภาพด้านศาสนา เป็นเพียงหนทางทำมาหากินของผู้ลี้ภัยเหล่านี้” มา อา ดินห์และ มา อา ซินห์ ซึ่งต่อมาได้รับการประกันตัวออกมาบอกว่า รัฐบาลมองว่าพวกเขาและผู้ชายชาวม้งที่ถูกจับกุมคนอื่นในเดือนมีนาคมเป็น “ศัตรูของรัฐ” สถานีโทรทัศน์ ANTV ยังได้รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับชายทั้งสามคนใน เดือนเมษายน 2568หลังจากพวกเขาถูกจับกุมในประเทศไทย และใน เดือนกรกฎาคม 2568ทั้งยังมีการล้อเลียนความคิดเห็นของพวกเขาด้วย
ลู อา ดา นักกิจกรรมชาวม้งอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ประสานงานพันธมิตรเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวม้งในประเทศไทย และได้หลบหนีจากเวียดนามในปี 2563 บอกว่า เขาได้เจอกับเจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามสองครั้งระหว่างที่ ถูกจับกุม และถูกขังในสถานกักตัวคนต่างด้าวของไทยในเดือนธันวาคม 2566 การจับกุมตัวเขาเกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์ หลังจากเขาได้ให้การทางออนไลน์กับคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชนพื้นเมืองในเวียดนาม
ลู อา ดากล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชาวเวียดนามคนหนึ่งได้มาพบเขาระหว่างที่ถูกกักตัว และได้พยายามกดดันเขา โดยบอกว่ารัฐบาลเวียดนามพยายามจะจับกุมตัวเขา เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยังหว่านล้อมให้เขาเดินทางกลับไปเวียดนาม โดยบอกว่าจะสามารถจัดทำเอกสารได้อย่างรวดเร็วให้ทันก่อนช่วงตรุษจีน ลู อา ดาบอก “แต่พอผมปฏิเสธข้อเสนอของเขา เขาก็ข่มขู่ผม โดยเตือนว่า ‘คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการตอนที่อยู่ในประเทศไทย แต่ขอให้คิดถึงครอบครัวในเวียดนามด้วย’ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะข่มขู่ให้ผมยุติการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน”
สถานกักตัวคนต่างด้าวของไทย ซึ่งทำหน้าที่กักตัวแทนรัฐบาลเวียดนาม
ผู้ลี้ภัยและผู้รณรงค์สิทธิผู้เข้าเมืองและสิทธิมนุษยชนหลายคนในกรุงเทพฯ แสดงความกังวลว่า ทางการเวียดนามได้ดำเนินการอย่างเป็นผลเพื่อใช้สถานกักตัวคนต่างด้าวของไทย เป็นกลไกเพื่อควบคุมตัวและลงโทษแกนนำผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดและชาวม้ง รวมทั้งการกดดันพวกเขาและชุมชน เพื่อให้เดินทางกลับไปเวียดนาม
อดีตผู้ต้องกักบางคนบอกว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ชาวเวียดนามเดินทางมาพบที่สถานกักตัวของไทย เจ้าหน้าที่จะอ้างว่าได้ขอให้ตม.ของไทยกักตัวพวกเขาไว้ต่อไป จนกว่าพวกเขาจะยินยอมเดินทางกลับไปเวียดนาม
อย่างน้อยในหนึ่งกรณี ทางการไทยปฏิเสธคำขอของรัฐบาลเวียดนาม หลังจากการแทรกแซงขององค์การสหประชาชาติ ลู อา ดา จากพันธมิตรเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวม้งในประเทศไทยบอกว่า หลังจากพยายามกดดันให้เขาเดินทางกลับไป ระหว่างที่เขาถูกกักตัวในประเทศไทยช่วงปลายปี 2566 ทางการเวียดนามก็ไม่สามารถกดดันให้มีการขยายเวลาการกักตัวของเขาต่อไปได้อีก หลังจากเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติได้ประสานงานเพื่อให้มีการปล่อยตัวเขา ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามจึงยิ่งเพิ่มการรณรงค์ทางสังคมเพื่อต่อต้านเขาและผู้ลี้ภัยชาวม้งคนอื่น ๆ โดยตราหน้าพวกเขาว่าเป็นอาชญากร